>>เมื่อ ลิเวอร์พูล ได้ออกจากสนามคัมป์นู ด้วยอาการโคม่าในห้องไอซียู หลังจากโดน “บาร์เซโลน่า” ได้ไล่ขยำจนชนะขาดลอย 0-3 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เมื่อวันพุธที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ฝันหวานที่จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ 2 ซีซั่นติดต่อกันแทบเลือนลางเต็มที<<
เมื่อเปิดเกม “หงส์แดง” ทำฟอร์มรับมือกับ ลิโอเนล เมสซี่ ได้ดีในระดับหนึ่งในขณะที่พวกเขาสร้างโอกาสสร้างความหวาดเสียวหน้าประตูของ บาร์ซ่า ได้เรื่อยๆ แต่สุดท้ายเจอเฉียบคมของเจ้าบ้านเข้าให้ ทำให้แนวรับของ ลิเวอร์พูล แตกรำเมื่อโดน หลุยส์ ซัวเรซ ซัดนำไปก่อน
ส่วนในครึ่งหลัง “เดอะ เร้ดส์” ได้มีโอกาสยิงประตูตีเสมออยู่หลายครั้งโดยเฉพาะจังหวะของ เจมส์ มิลเนอร์ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แต่วันนี้ มาร์ก-อันเดร แทร์ ชเตเก้น วิญญาณปลาหมึกเข้าสิงป้องกันได้หมด เมื่อทำไม่ได้ก็เลยโดนอีกสองตุงจาก เมสซี่ โดยเฉพาะประตูที่สามต้องยอมรับว่า ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ ปั่นฟรีคิกได้สุดยอดไม่มีทางที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ จะปัดป้องได้เลย

กระนั้นสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล อาจจะเปลี่ยนไปหากจังหวะที่ ซาลาห์ ยืนโล่งๆ แต่ดันยิงไปชนเสา เพราะถ้าสกอร์เปลี่ยนมาเป็น 1-3 อย่างน้อยๆ การได้อเวย์โกลกลับถิ่นแอนฟิลด์ น่าจะทำให้พวกเขามีโอกาสเล็กๆ ที่จะพลิกสถานการณ์ก็เป็นได้
1. เกมลูกหนังที่สุดยอด

สำหรับเกมนี้แฟนบอลทั้งที่อยู่ในสนามคัมป์ นู และหน้าจอทีวี หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์, สมาร์ทโฟร์ คงได้เห็นการเล่นฟุตบอลที่เต็มไปด้วยความรวดเร็ว, คุณภาพ และเต็มไปด้วยความสนุกเร้าใจ โดยหลายคนยกให้เป็นเกมระดับ “ห้าดาว” เลยทีเดียว
แน่นอนว่านอกจากประตูที่เจ้าบ้านยิงได้เยอะ ในส่วนเกมของทั้งสองฝ่ายถือว่าแลกกันมัน ที่สำคัญ ลิเวอร์พูล มีโอกาสที่จะเปิดแผลเจ้าบ้านได้ก่อนในครึ่งแรกจาก ซาดิโอ มาเน่ และโอกาสงามหยดก่อนพักครึ่งด้วย ขณะเดียวกัน “เจ้าบุญทุ่ม” แสดงให้เห็นถึงการเข้าทำที่สุดยอด จากจังหวะเปิดบอลสุดคมของ จอร์ดี้ อัลบา และ ซัวเรซ วิ่งเข้ามาซัดส่งบอลซุกก้นตาข่าย
.jpg)
ส่วนในครึ่งหลัง ทีมเยือนยังคงครองเกมได้เหนือกว่า และสร้างโอกาสได้หลายครั้งแต่ทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งมาโดนลงโทษจาก เมสซี่ 2 ลูกซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นฟรีคิกปลิดวิญญาณ ทำให้สถานการณ์ของ “หงส์แดง” เข้าขั้นโคม่า เพราะการต้องต้อนรับ บาร์ซ่า พร้อมกับประตูเป็นรองถึงสามลูก แน่นอนว่าเป็นงานที่ยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา หรือ งมเข็มในมหาสมุทร
งานนี้สาวก “เดอะ ค็อป” คงนึกภาพออกว่าเกมที่แอนฟิลด์ พวกเขาต้องรุกเต็มตัว และจะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยให้ เมสซี่ มีพื้นที่เล่น…..นึกสภาพเอาเองก็แล้วกัน !!??!! แต่ที่แน่ๆ ทั้ง ลิเวอร์พูล และ บาร์ซ่า คงจะเล่นเกมสนุกเร้าใจตามสไตล์ทีมเอนเตอร์เทน เหมือนเดิมแน่นอน
2. แอนดี้ โรเบิร์ตสัน อาจจะเป็นแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดในโลก ?

หลายคนอาจจะมองว่าเป็นการอวย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เกินไปหรือเปล่า แต่มันคงเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะมองหาแบ็กซ้ายที่ดีกว่า กัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ ในเวลานี้ ยกเว้น จอร์ดี้ อัลบา !!
แม้ว่า ดาวเตะเลือดสกอตต์ อาจจะต้องพบกับวันที่ไม่ค่อยดีนักในการเติมเกมบุก แต่เขามีส่วนร่วมกับเกมดีมากๆ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องยากที่จะคิดหา แบ็กซ้ายที่เล่นได้ดีกว่าเขาในช่วงเวลานี้ ที่สำคัญแฟนบอลได้เห็นแบ็กซ้ายชั้นยอดสองคนจากสองฝั่งสนามเมื่อค่ำคืนวันพุธที่ผ่านมา เพราะ อัลบา ก็โชว์ฟอร์มชั้นยอดเช่นเดียวกัน

โรเบิร์ตสัน อาจจะมีราคาค่าตัวตอนย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล เพียงแค่ 8.5 ล้านปอนด์ (ราว 348.5 ล้านบาท) แต่ปัจจุบันบทบาทของฟูลแบ็กเลือดวิสกี้ เป็นนักเตะสำคัญพอๆ กับผู้เล่นหลายๆ คนในทีม และแทบจะหาใครมาทดแทนเขาไม่ได้เลยจริงๆ
แม้ว่าเกมนี้ โรเบิร์ตสัน จะพยายามเติมเกมบุก และช่วยเกมรับอย่างเต็มที่ แต่สิ่งเดียวที่เขาขาดหายไปในแมตช์เยือนคัมป์ นู ก็คือการแอสซิสต์ แต่ตรงข้ามกับ อัลบา เพราะเล่นได้ดีเหมือนกันทั้งรุกและรับ แต่ที่ต่างกันก็คือเขาแอสซิสต์ให้ ซัวเรซ เปิดแผล “หงส์แดง”
3. เมสซี่ เก่งนักไม่นับญาติ

ลิโอเนล เมสซี่ กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มฮอตเกินห้ามใจจริงๆ โดยซูเปอร์สตาร์ลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ สามารถปลดแอกเรื่องที่ไม่สามารถส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย ลิเวอร์พูล เมื่อจัดการโชว์ของสุดสยองด้วยการซัด 2 ประตูให้หายคับอกคับใจกันไปเลย
สำหรับแมตช์นี้เป็นแมตช์ที่ 100 ของ เมสซี่ ได้ลงเล่นตัวจริงในฐานะกัปตันทีมบาร์เซโลน่า และก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้ถูกอกถูกใจสาวก “อาซูลกราน่า” ทั้งแผ่นดิน ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกเสียงจะพูดเหมือนกันว่า สตาร์วัย 31 ปี คือความแตกต่างของทั้งสองทีม

ในครึ่งแรก เมสซี่ อาจจะไม่ค่อยได้โชว์ลีลามากนัก แต่ก็สามารถป่วนเกมรับของ “เดอะ เร้ดส์” ได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามในครึ่งหลัง โลกลูกหนังได้เห็นความอัจฉริยะของเขากันเต็มสองตา เมื่อเจ้าตัวตะบันสองตุงให้ทีม แถมหนึ่งในนั้นเป็นการยิงฟรีคิกระยะไกลบอลพุ่งเสียบสามเหลี่ยมชนิดที่ อลีสซง สวมบทซูเปอร์แมนบินให้ตายก็ไม่มีทางปัดโดน
จากสองประตูที่ทำได้ในแมตช์นี้ ส่งให้ เมสซี่ ทำสถิติยิงประตูให้ บาร์เซโลน่า ไปแล้ว 600 ประตูจากการลงเล่นทุกรายการ ที่สำคัญเขารักการยิงประตูสโมสรในอังกฤษมากๆ โดยซัดรวมไปแล้ว 26 ประตูจากการเล่น 33 แมตช์กับทีมเมืองผู้ดีในแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่ง อาร์เซน่อล เป็นเหยื่ออันโอชะเพราะโดนไป 9 ประตู….คุกกี้อาร์เซน่อลอร่อยเหาะจริงๆ
4. คูตินโญ่ เจองานหินดวลทีมเก่า

ในขณะที่ หลุยส์ ซัวเรซ แฮปปี้กับค่ำคืนที่ต้อนรับ ลิเวอร์พูล ทีมเก่า แต่กับอดีตแข้งอีกรายของ “หงส์แดง” ต้องบอกว่าฟอร์มเงียบเป็นเป่าสาก
ฟอร์มของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ไม่เหมือนกับตอนที่เขาย้ายจาก ลิเวอร์พูล มาอยู่กับต้นสังกัดเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว โดยในช่วงที่ผ่านมา “คูตี้” ตกเป็นเป้าเล่นงานของแฟนบอลทีมตัวเองอย่างหนัก เนื่องจากผลงานไม่คุ้มกับค่าตัวที่ทีมยอมจ่ายให้กับ “หงส์แดง”

แมตช์ล่าสุด เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติบราซิล ยังคงเล่นไม่ได้เรื่องอีกครั้ง โดยเขาแทบไม่มีบทบาทอะไรกับทีมเลย และนั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์คนเก่ง เลือกที่จะถอดเขาออกจากเกมในนาทีที่ 60 และส่ง เนลซอน เซเมโด้ ลงมาแทน
สำหรับการตัดสินใจของ บัลเบร์เด้ ดูเหมือนจะถูกอกถูกใจสาวก “เลือดหมูน้ำเงิน” อย่างมาก เพราะหลังจากที่เขาเดินออกจากสนามสิ่งที่ คูตินโญ่ ได้รับไม่ใช่เสียงปรบมือสรรเสริญ แต่เป็นเสียงโห่ลั่นสนั่น “ชามอ่างยักษ์” ฉะนั้นช่วงซัมเมอร์นี้ คงรู้แล้วว่า แข้งแซมบ้าจะตัดสินใจอยู่หรือไปจากทีม !!??
5. เดอะ เร้ดส์ ดีทุกอย่างยกเว้นประตู

สกอร์ 3-0 อาจจะดูเยอะเหลือเกิน แต่สำหรับแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล เล่นได้ดีมากๆ ในครึ่งแรก และมีโอกาสที่จะสร้างบาดแผลให้กับ บาร์เซโลน่า ก่อนที่จะโดน ซัวเรซ จัดไปก่อน ขณะเดียวกันในช่วงต้นครึ่งหลังก็สร้างความหวาดเสียวได้หลายครั้งเช่นกัน
แน่นอนว่าตอนที่ บาร์ซ่า ขึ้นนำบรรดาแฟนบอลของพวกเขาต่างก็เสียวท้องน้อย เพราะต้นครึ่งหลังขุนพล “เดอะ เร้ดส์” เดินเครื่องเต็มสูบเพื่อหวังจะยิงประตูคืนให้ได้ และกดเกมของเจ้าบ้านจนต้องไปตั้งรับ แต่น่าเสียดายช่วงโอกาสทองพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้

เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องโดนลงโทษ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ! จากสองประตูของ เมสซี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการแพ้ 0-3 ถือว่า ลิเวอร์พูล โชคดีมากๆ เพราะหาก อุสมาน เดมเบเล่ มีความนิ่งอีกซักหน่อย งานนี้บอกเลยว่าทีมเยือนได้กลับบ้านด้วยสภาพย่อยยับไม่นับญาติแหงๆ
ฉะนั้นในเกมสองที่แอนฟิลด์ สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องทำก็คือรักษาฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมแบบนี้เอาไว้ หรืออาจจะยกระดับผลงานให้ดีขึ้น แต่ควรจะเพิ่มความเฉียบคมเข้าไป แม้โอกาสจะทะลุเข้ารอบชิงฯ อาจจะริบหรี่ แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็อาจเกิดขึ้นได้เหมือนที่ อิสตันบลู กระนั้นหากพวกเขาโดน บาร์ซ่า เปิดแผลก่อน ก็เปิดม่านเก็บฉากกลับบ้านนอนได้เลย